Forex, EA, Binary Option, Signals, affiliate

Forex, EA, Binary Option, Signals, affiliate
แหล่งความรู้สำหรับผู้เริ่มต้นการเทรดค่าเงิน มาเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างถูกต้อง

เทรดตามระบบ VS เทรดแบบตัดสินใจด้วยตัวเอง






เทรดเดอร์ที่ตัดสินใจเทรดด้วยตัวเองมักจะมีวิธีการมองตลาดที่แตกต่างไปจากเทรดเดอร์ที่เทรดด้วยระบบที่สร้างขึ้นมา เขาจะมองตลาดในแต่ละวันด้วยวิธีต่าง ๆ กันไป การตรวจสอบปัจจัยต่างๆ จะมีมากกว่า การปรับตัวของเทรดเดอร์เหล่านี้ในแต่ละวัน ก็จะมีการปรับพฤติกรรมให้เข้ากันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในขณะนั้น จึงมีความเป็นอิสระมากในการเทรด เพราะสามารถมองตลาดแล้วตัดสินใจได้ว่าวันนี้ควรเทรดหรือไม่อย่างไร หรือว่ายังไม่ควรเทรดนั่งดูเฉย ๆ ไปก่อนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่หนึ่งที่นักเทรดเหล่านี้มีติดตัวอยู่เสมอนั่นก็คือ เขาจะไม่ละเมิดกฎใด ๆ ที่ตั้งไว้ เพราะจากประสบการณ์ได้บอกนักเทรดแล้วว่าการไม่ละเมิดกฎเป็นการบริหารความเสี่ยงที่ดีที่สุด

แต่ในขณะเดียวกันนักเทรดที่เทรดด้วยระบบ จะมีความเครียดน้อยกว่านักเทรดที่เทรดจากการตัดสินใจเอง เพราะไม่ต้องไปดูว่าตลาดมีแนวโน้มไปทางไหน ก็ในเมื่อนักเทรดได้สร้างระบบขึ้นมาแล้วก็เพียงรอสัญญาณเข้าสถานะเท่านั้น หรือหากใครเขียน EA ขึ้นมาใช้เองก็รอให้ Robot ทำงานก็เท่านั้น ซึ่งทุก ๆ การออกสถานะก็ย่อมต้องมีการตั้ง TP / SL ไว้รองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่แล้ว แต่หาก EA ตัวไหนไม่ได้ตั้ง SL เอาไว้ ก็ให้นักเทรดระมัดระวังให้จงหนัก และก็เลือกเอาว่าจะกำไรครั้งเดียวเป็นกอบเป็นกำ หรือจะล้างพอร์ตกันไปทีเดียวแบบวัดใจ แต่การเทรดไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ขนาดนั้น หากคุณคิดว่าเป็นการวัดใจอย่างหนึ่งนั่นก็แสดงว่าคุณไม่ได้ติดอาวุธในด้านความรู้ในการเทรดมาเลย เพราะคุณมองแนวโน้มของตลาดไม่ออกนั่นเอง

ข้อดีของหลักการเทรดแบบตัดสินใจด้วยตัวเองก็คือ นักเทรดจะสามารถเปิดใจให้กับโอกาสใหม่ๆ ได้เท่าที่ต้องการ แต่ข้อเสียก็คือการตัดสินใจของคนนั้นมีแนวโน้มที่จะผิดพลาดมาก เมื่ออยู่ภายใต้ความกดดัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นด้วยความโลภ หรือความหวาดกลัวจากการเคลื่อนไหวของราคาตลาดอย่างรุนแรง ในส่วนนี้หากนักเทรดมีประสบการณ์น้อยก็อาจจะทำอะไรไม่ถูก ณ เวลานั้นได้ แต่หากผ่านประสบการณ์มาอย่างโชคโชนก็จะสามารถจัดการให้มันผ่านห่วงเวลาอันกดดันที่สุดไปได้ 

ในเรื่องของการสร้างผลกำไร นักเทรดที่ใช้ระบบในการเทรดมีแนวโน้มที่จะมีผลกำไรที่สม่ำเสมอมากกว่านักเทรดที่ตัดสินใจเอง ในทางกลับกันนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในตลาดกลับเป็นนักเทรดอย่างหลังซะมากกว่า ไม่ว่านักเทรดจะเลือกใช้การเทรดอย่างไรก็ต้องเลือกใช้ให้เข้ากันกับจริตและอุปนิสัยของตัวเองด้วย ว่ากันว่าผู้ที่มีความสงบเยือกเย็นและคนประเภทย้ำคิดย้ำทำ มีแนวโน้มที่จะใช้ระบบในการเทรดมากกว่า และผู้ที่ชอบเป็นนักผจญภัย ชอบความตื่นเต้น ก็จะหันไปเทรดแบบใช้การตัดสินใจด้วยตัวเอง ทั้งนี้อาจจะมีนักเทรดแบบผสมผสานเกิดขึ้นได้อีก เพราะใช้ทั้ง 2 อย่างในการเทรดไปพร้อม ๆ กัน อาจจะใช้วิธีการแยกพอร์ต แล้วมาดูผลลัพท์อีกทีว่าเป็นอย่างไร 

5 สาเหตุที่คนส่วนใหญ่มีเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ





ข้อมูลวิจัยของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าร้อยละ 35.4 ของผู้สูงอายุไทย มีรายได้ไม่พอสำหรับการใช้จ่าย เรามาดูว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้

1. ขาดการวางแผนการเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณ
หากคุณไม่เคยวางแผนการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ คุณจะไม่รู้ว่าจะมีรายได้และค่าใช้จ่ายเท่าไรในการออมแต่ละเดือนเพื่อที่จะเป็นทุนรอนไว้ใช้ในยามเกษียณ อาจจะเป็นเงินไม่มากนักในแต่ละเดือน หากออมหลายปีเข้าก็อาจกลายเป็นเงินจำนวนมากในอนาคตได้ และเพียงพอที่จะไม่ทำให้คุณต้องเครียดเมื่อถึงวันนั้น

2. ออมเงินแล้วนะ แต่ว่าเริ่มช้าเกินไปมาก
หากคุณเกษียณอายุที่ 55 ปีและคาดว่าจะใช้เงินเดือนละ 10,000 บาท ในวันที่คุณเกษียณแล้ว ประมาณ 25 ปี คุณจะต้องมีเงินเก็บในวัยเกษียณไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท หากคุณเริ่มออมช้าเช่นเริ่มออมอายุ 50 ปีคุณจะต้องออมประมาณเดือนละ 5,000 บาท หากเริ่มออมเมื่ออายุ 20 ปี คุณสามารถออมเพียงเดือนละประมาณ 7,000 บาท จะเห็นได้ว่าระยะเวลาของการเริ่มต้นมีส่วนสำคัญไม่น้อย

3.ค่าใช้จ่ายมากเกินไป ทำให้การออมทำได้น้อย
โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาที่เราหาเงินได้ด้วยตัวเอง ก็จะเป็นช่วงเวลาของความอยากได้สิ่งของต่าง ๆ ไปด้วย จะโดยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม ความอยากได้อยากมี จะทำให้เราเริ่มออมเงินได้น้อย จนถึงกับออมเงินไม่ได้กันเลย หรือเมื่อเรามีอายุประมาณ 35 ปีขึ้นไป ก็อาจจะเริ่มค่อย ๆ ออมเงินได้บ้าง จะทำให้ต้องเพิ่มจำนวนเงินออมต่อเดือนมากขึ้นไปอีก อีกประการก็คือจะทำได้หรือไม่ก็ต้องมาดูสภาวะแวดล้อมกันอีกที

4. ขาดวินัยในเรื่องการออมในระดับสูง
เนื่องจากการออมเงินเพื่อเกษียณอายุเป็นการออมระยะเวลายาวสำหรับช่วงชีวิตที่ยาวนาน  25-30 ปีดังนั้นเงินก้อนที่ควรจะออมจึงเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก นอกจากต้องเริ่มออมตั้งแต่ตั้งแต่เริ่มทำงานประจำหรือเริ่มหาเงินได้เองแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือคุณต้องมีวินัยในการออมด้วย หากคุณตั้งใจว่าจะออมเดือนละเท่าไหร่ คุณจะต้องออมให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ หากไม่มีวินัยในการออมเงินออมที่คุณคาดหวังไว้ ณ วัยหลังเกษียณก็จะเป็นไปไม่ได้เลย

5. กังวลในเรื่องความเสี่ยง ทำให้ต้องออมให้มากขึ้น
การออมเงินในธนาคารมีหลายรูปแบบ และการนำเงินออมไปลงทุนโดยหวังว่าจะมีเงินปันผลเพิ่มเข้ามาก็มีช่องทางมากมาย แต่หลายคนกังวลในเรื่องของความเสี่ยง และแน่นอนว่าการนำเงินฝากธนาคารไปเรื่อย ๆ ความเสี่ยงก็ต่ำตามไปด้วย จึงทำให้คุณต้องออมเงินในจำนวนมากต่อเดือนโดยไร้ซึ่งความเสี่ยง ซึ่งก็ถือได้ว่าไม่ใช่แนวคิดที่ผิดใด ๆ เพราะหากใจคุณยอมรับความเสี่ยงไม่ได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง


หลักการเบื้องต้นในการลงทุน





การเอาเงินทุนของเราไปลงทุน ก็เท่ากับเรามีความเสี่ยงเกิดขึ้นแล้ว เหมือนของการลงทุนและการพนันคือการมีเงินเป็นเดิมพัน การจะทำให้เงินของเราปลอดภัยจริง ๆ ก็คงต้องนำเงินฝากธนาคารเท่านั้น หากนำไปเทรดหุ้น หรือเทรดค่าเงิน ก็ต้องยอมรับของมันด้วย จากนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละคนว่าจะมีหลักคิดอย่างไรที่จะรักษาเงินทุนของเราเอาไว้และเพิ่มพูนขึ้นมาด้วยผลกำไร

การลงทุนคือการยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง ถ้าหากคุณไม่ต้องการเสี่ยงเลยก็ให้เอาเงินทั้ง 100% ไปฝากกับธนาคารและเก็บดอกผลกินทีละเล็กละน้อย โดยที่ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจกับการหายไปของเงินต้นเลยแต่หากอยากเพิ่มผลตอบแทนโดยการใช้วิธีเพิ่มความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนตามกฎ high risk high return ก็ยังมีช่องทางให้นำเงินไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล กองทุนหุ้น หรือนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่ากันอีกทีก็สามารถทำได้

มาดูในส่วนของตลาดหุ้น หากเราคิดเริ่มจะลงทุนก็ให้เลือกหุ้นที่ปลอดภัย 70% และมีความเสี่ยง 30% โดยเราควรแยกหุ้นออกมาดังนี้

หุ้นเติบโตต่ำ แต่ให้ผลกำไรสม่ำเสมอและมีฐานะการเงินเข้มแข็ง ให้น้ำหนักที่เงินปันผล ควรเลือกหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน

หุ้นที่เติบโตสูง คือโดยส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างการขยายการลงทุน มักจะจ่ายเงินปันผลต่ำหรืออาจจะไม่จ่ายก็ได้ แต่ให้เราจับตาดูแนวโน้มยิ่งอัตราการเติบโตยิ่งสูงยิ่งดี

หุ้นบริษัทขนาดใหญ่มีประวัติการก่อตั้งยาวนานมีฐานะการเงินเข้มแข็ง

หุ้นที่กำลังพลิกฟื้นกิจการ ให้ดูที่แนวโน้มกำไรต่อยอดขายและกระแสเงินสด

หุ้นวัฏจักรให้ลงทุนตอนช่วงขาขึ้นของวัฏจักรธุรกิจ

ในส่วนของการเลือกการลงทุน หากเรายิ่งลงทุนในระยะยาวมาก ความเสี่ยงจากการลงทุนจะยิ่งลดต่ำลงไปตามลำดับ แต่หากเราใช้วิธีการลงทุนแบบทบต้น นำกำไรหรือเงินปันผลไปลงทุนต่อก็จะทำให้ต้นทุนค่อยๆลดลงหากการลงทุนต่อนั้นมีกำไร

หลักการกระจายความเสี่ยงตามกลุ่มอุตสาหกรรมก็คือ 70% ของเงินลงทุน ควรลงทุนในกลุ่มที่มีความมั่นคงสูงในระยะยาว อีก 30% ควรลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงในระยะสั้นถึงปานกลาง  ซึ่งจริงๆแล้วสูตรการลงทุนไม่มีสูตรตายตัวอะไรขึ้น ขึ้นอยู่กับการสร้างความคาดหวังในผลตอบแทนของนักลงทุนแต่ละคน ที่สำคัญเราต้องรู้ว่าเราคาดหวังกำไรสูงสุดจากการลงทุน โดยยอมรับความเสี่ยงในระดับต่ำที่สุดได้ในระดับใด สุดท้ายแล้วการเลือกหุ้นย่อมเป็นตัวบ่งบอกถึงระดับของความเสี่ยงได้ดีที่สุด


มาหาวิธีต่อสู้กับความเครียดจากการเทรดกัน





จริง ๆ แล้วการเทรดก็จะมีทั้งมุมของผู้ปลอดจากความเครียดเพราะเค้าเหล่านั้นเทรดแล้วมีกำไร แต่ผู้ที่เทรดแล้วขาดทุนก็ต้องพกความเครียดออกจากสนามกันไป การรู้จักพักใจบ้างเป็นเรื่องสำคัญที่นักเทรดผู้พ่ายแพ้ควรมีติดตัวไว้ จะเครียดมากเครียดน้อยก็ว่ากันไป พักบ้างอะไรบ้างก็ไม่ทำให้ตลาดขาดกำไรแน่นอน

ในตลาดเราให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล พอการต่อสู้จบลงเหตุผลต่าง ๆ ก็ประเดประดังเข้ามา แล้วจะทำอย่างไรให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ได้ มาลองดูกัน 

หากผิดทางก็ปิดสถานะนั้นซะ ไม่ต้องรอให้กราฟกลับทางมา (ถึงแม้เวลาต่อมาจะกลับทางจริง ๆ ก็ตาม) 

ปิดคอม หรือวางมือถือลงไม่ต้องไปดูว่าใครชนะ ใครแพ้ที่ไหน ๆ พยายามไม่ต้องนึกถึงการเทรดสักพัก อาจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

หากเริ่มผ่อนคลายบ้างแล้ว ค่อยเปิดผลการเทรดออกมาดูแล้วค่อย ๆ นึกว่าการเทรดที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง จดบันทึกการเทรดประจำวัน แล้วหาวิธีการแก้ไข

คุณอาจกลับเข้าไปดูในกลุ่มเทรดต่าง ๆ ซึ่งอาจจะพบว่าไม่ได้มีคุณคนเดียวที่พลาดท่าเสียที อย่างน้อยคุณก็มีเพื่อนร่วมเทรดที่มีความรู้สึกเดียวกับคุณ 

ไม่ควรระบายความเครียดด้วยการไปดื่มเหล้าหรือเที่ยวเตร่ตามแหล่งอบายมุขเพราะเพียงแค่หวังว่าจะลืมความเครียดได้ 

หาเงินที่นำมาเทรดเป็นเงินที่ไปหยิบยืมผู้อื่นมา ก็อย่าได้ใช้การเทรดในวันถัดไปมาทวงเงินคืนเด็ดขาด เพราะอารมณ์ ณ ขณะนั้นจะเต็มไปด้วยความโลภ โอกาสทำกำไรจะน้อยมาก

เมื่อพร้อมแล้ว ก็หาเวลาว่างศึกษาการเทรดในจุดบกพร่องของตัวเองต่อไป หรืออาจจะลองทดสอบระบบด้วย demo ก่อน มั่นใจแล้วจะเทรดด้วยเงินจริงอีกครั้ง

อย่าได้ทำให้ในครอบครัวต้องรู้สึกแย่ไปกับคุณด้วย เพราะความผิดพลาดครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าชีวิตคุณจะไม่เหลืออะไร ลองมองดูรอบ ๆ ตัว ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่

ใช้หลักธรรมะเข้ามาช่วยในการเทรดในครั้งต่อไป เช่น การวางใจให้นิ่ง กำไรก็นิ่ง ขาดทุนก็นิ่ง หากใจคุณนิ่ง นั่นหมายความว่าคุณเริ่มมีสติมากขึ้นแล้ว

หากการเทรดดูยากเกินไป ก็ให้มองหาวิธีการอื่น ๆ ดูบ้าง เช่นการรับจ้างเขียนบทความออนไลน์ การหัดทำเว็บไซต์ การรับลงสินค้าในร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ พร้อม ๆ กับการศึกษาการเทรดไปเรื่อย ๆ ก็จะทำให้คุณมีช่องทางในการหารายได้เพิ่มอีกด้วย


คุณมาถึงจุดต่ำสุดของการเป็นเทรดเดอร์แล้วหรือยัง






การตกลงไปถึงจุดต่ำสุดเหมือนตกเหวลึก จะทำให้รู้สึกถึงความเลวร้ายในชีวิตอย่างมาก มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและน่าอายเมื่อนักเทรดเดินมาถึงจุดนี้ นักเทรดเสียเงินที่ไม่สามารถเสียได้ไปซะแล้ว เมื่อมาถึงจุดนั้นเงินเก็บออมทั้งหมดของคุณก็เดินจากกระเป๋าของคุณไปจนหมดสิ้น หลังจากที่คุณได้บอกเพื่อนๆของคุณไปว่าคุณเก่งเพียงใดในตลาดแห่งนี้ แต่ต่อมาคุณกลับต้องไปขอยืมเงินจากพวกเขา นั่นหมายความว่าคุณมาถึงจุดต่ำสุดของการเป็นเทรดเดอร์แล้ว

นักเทรดบางคนมาถึงจุดต่ำสุดหลังจากที่เข้ามาเทรดได้เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ บางคนเติมเงินเข้าไปในบัญชีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเลื่อนเวลาการล้างพอร์ตออกไปเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่คุณได้มองเห็นเงาของผู้แพ้ในกระจกซึ่งมันก็คือตัวของคุณเอง นักเทรดส่วนใหญ่จะประเมินค่าตัวเองเอาไว้สูง แต่จำเอาไว้ว่าคุณไม่ใช่คนเดียวที่เป็นเช่นนี้ เทรดเดอร์เกือบทุกคนเคยผ่านจุดนี้มาแล้วทั้งสิ้น แต่จะมากบ้างน้อยบ้างก็แตกต่างกันไปตามต้นทุนของแต่ละคน

เทรดเดอร์หลายคนที่มาถึงจุดต่ำสุดจะออกตลาดไปแบบเงียบๆ และไม่เคยกลับมาอีกเลย บางคนที่กำลังเทรดอยู่ในวันนี้ก็จะจากไปในอีก 1 ปีข้างหน้าหรือไม่ก็เร็วกว่านั้น พวกเขาอาจจะตกลงมาถึงจุดต่ำสุดด้วยฝันอันแสนเลวร้ายแล้วก็จากไป นักเทรดพยายามที่จะลืมการเทรดไป ให้เหมือนกับการลืมฝันร้าย บางคนหลบหายไปรอจนกระทั่งความเจ็บปวดจางลง จากนั้นก็กลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง ด้วยการที่เคยได้รับบทเรียนไปแล้ว นักเทรดเหล่านี้จะมีความรู้สึกหวาดกลัวและความหวาดกลัวนั่นแหละจะทำให้การเทรดของยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม

โชคดีที่จะเจอบางคนเร่งปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุด และเริ่มเข้าสู่ขบวนการของการเปลี่ยนแปลงและเติบโตพร้อม ๆ กับการยอมรับว่าปัญหาส่วนตัวคืออิทธิพลของจิตใจเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเทรดต้องขาดทุน แบบนี้จะทำให้นักเทรดเริ่มต้นสร้างชีวิตการเทรดขึ้นมาใหม่ได้ และนักเทรดจำพวกนี้ก็สามารถที่จะเริ่มพัฒนาวินัยของผู้ชนะขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน

หากจะเปรียบเทียบไปตลาดการเทรดก็เหมือนกับทะเล มันเคลื่อนไหวขึ้นและลงไม่ว่านักเทรดต้องการที่จะให้มันเป็นอย่างไรก็ตาม นักเทรดอาจรู้สึกมีความสุขเมื่อเปิดสถานะซื้อหุ้นและมันวิ่งกระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และอาจรู้สึกเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อเปิดสถานะ shot แต่ตลาดกับวิ่งขึ้นและทำลายเงินทุนของคุณด้วยทุกๆช่องราคาที่มันวิ่งขึ้นไป ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตลาดเลย มันก็วิ่งของมันไปตามวอลลุ่ม แต่สิ่งที่มันเคลื่อนไหวขึ้นลงไปมายิ่งกว่าตลาดก็คือความคิดในใจของคุณเองที่ยังนิ่งไม่พอ

ทำไมนักเทรดมือใหม่ตัดใจขายขาดทุนไม่ได้สักที




หากต้องการความความอยู่รอด (ยังไม่ต้องพูดถึงกำไร) ก็ขึ้นอยู่กับว่านักเทรดเต็มใจที่จะตัดขาดทุนหรือไม่ ในขณะที่การขาดทุนนั้นยังไม่มาก เมื่อราคาเริ่มวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม ส่วนใหญ่นักเทรดมือใหม่จะถือไว้ต่อ โดยหวังว่าราคาจะกลับตัวมาในทิศทางที่ได้เปิดสถานะเอาไว้ และเมื่อโดนเรียกเงิน margin เพิ่มขึ้น นักเทรดก็จะรีบนำเงินเข้าพอร์ตเพิ่มทันที เหมือนกับว่าขาดทุนในจำนวนแรกนั้นไม่พอ (ต้องขาดทุนเพิ่มอีก) โดยมีความคาดหวังว่าจะกลับมาทำกำไรได้ในที่สุด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้

การถือสถานะขาดทุนต่อไปอย่างดื้อดึงนั้น มันเป็นเพียงแค่การทำให้บาดแผลยิ่งลุกลามออกไปอีกเท่านั้น การขาดทุนจะสะสมเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งการขาดทุนในตอนแรกที่ดูเหมือนว่าแย่แล้วนั้น กลายเป็นการขาดทุนที่ดีขึ้น เพราะยังมีเงินอีกก้อนที่รอขาดทุนเพิ่มอีก ท้ายที่สุดในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว นักเทรดผู้พ่ายแพ้และสิ้นหวังก็จำเป็นจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้และออกจากการเทรดนั้นมาพร้อมกับการขาดทุนอย่างรุนแรง

การการะทำที่คล้ายคลึงกันของผู้พ่ายแพ้ในตลาดเทรด ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลกนี้ก็ตามนั่นก็คืออยากตะโกนต่อว่าด่าทอตัวเองดัง ๆ หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือพาลทำเอาคนรอบข้างเสียอารมณ์ไปด้วย ไม่ก็คุณนั่นแหละที่ไปพาลคนอื่น นักจิตวิทยาชาวนิวยอร์กได้ให้ความเห็นไว้ว่า ด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ในการเทรดเราจึงเปิดสถานะเพื่อหวังรอรับผลกำไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือขาดทุนแล้วขายออกไปยากเหลือเกิน เพราะนักเทรดคือมีความรู้สึกผูกพันกับสถานะนั้น อันที่จริงแล้วเมื่ออะไรบางอย่างเคยเป็นของเรามาก่อน เราก็มีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะรู้สึกผูกพันกับมัน นักเทรดต้องตระหนักว่ามันเป็นเพียงธุรกรรมทางการเงินเท่านั้น และเราสามารถที่จะยอมตัดใจตัดมันทิ้งไปได้ อีกเหตุผลหนึ่งที่นักเทรดมือใหม่ไม่ยอมขาย แม้แต่เมื่อสถานะนั้นกำลังเป็นการขาดทุน ก็เพราะว่าพวกเขามีความคาดหวัง และความคาดหวังเข้ามาเกาะกุมกระบวนการตัดสินใจไปซะแล้ว

เทรดเดอร์ควรฝึกฝนในเรื่องของวินัย และควบคุมอารมณ์ให้ได้ก่อน ฝึกกับ demo ก่อนก็ได้ ทำให้เหมือนกับว่า demo เป็นเงินจริง ถ้าแค่ demo ยังตัดใจตัดขาดทุนออกไปไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนเอาเงินจริงเข้ามาเลยครับ เพราะใจคุณมันไม่พร้อม คุณต้องยอมรับตรงนี้แล้วปรับปรุงมันให้ได้ ส่วนนี้สำคัญไม่น้อยกว่าทักษะการเทรดด้านอื่น ๆ เลย

ทำไมจึงล้มเหลวในการเทรดครั้งแล้วครั้งเล่า





แท้จริงแล้วความล้มเหลวที่พบอยู่บ่อย ๆ สำหรับนักลงทุนก็คือ การที่นักลงทุน นักเทรดค่าเงินไม่ติดอาวุธทางความรู้มาด้วย เดินเข้าในตลาดแบบทื่อ ๆ เกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะว่าแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้มีมากมายเกินไป บ้างก็เป็นข้อมูลที่ผิด บ้างก็กึ่งผิดกึ่งถูก เพราะผู้ที่ให้ข้อมูลมานั้นก็ประมวลผลมาจากความคิดของตนเองซะส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามปัญหาทุกอย่างต้องแก้ไขได้ ขอให้นักลงทุนมีความเชื่อเท่านั้น หากคุณเชื่อมั่นว่าตัวเองจะแก้ไขปัญหาได้คุณก็จะมีแรงผลักดันที่จะทำมันต่อไป

เชื่อว่าการเทรดแล้วได้กำไรในระยะยาวเป็นไปได้
เมื่อคุณผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าจากการเทรด หรือจากการเล่นหุ้น แม้เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้ง ก็ทำให้คุณสูญเสียความมั่นใจ และคิดว่าตลาดเทรดนี้ไม่เหมาะกับคุณ แต่คุณไม่ได้มองอีกมุมหนึ่งว่าแล้วทำไมยังมีคนที่ประสบความสำเร็จอยู่ในตลาดนี้ได้อีกจำนวนหนึ่ง เค้าคิด เค้าทำอย่างไร จึงสามารถมีความเชื่อและเทรดได้มาแล้วกว่า 10 ปี เป็นเรื่องที่คุณต้องหาคำตอบครับ แต่ที่แน่ ๆ เค้าเหล่านั้นผ่านการขาดทุนมาไม่น้อย และบ่อยกว่าที่คุณคิดเยอะครับ

เชื่อในการลงมือทำอย่างจริงจังแล้วจะสำเร็จ
ก่อนอื่นต้องถามตัวเองว่าคุณได้ลงมือทำอย่างจริงจังหรือยัง หมายถึงศึกษาอย่างจริงจัง และศึกษาได้อย่างถูกต้อง ที่สำคัญคุณให้โอกาสตัวเองมากน้อยแค่ไหน หากคุณหวังว่าจะต้องเข้าใจทุกสิ่งอย่างในตลาดภายใน 1-2 เดือน หรือเข้าใจโดยอ่านหนังสือ 1-2 เล่มจบ แบบนี้ถือว่ายังไม่ผ่าน เพราะต้องประกอบกับการลงมือทดสอบด้วย การรับข้อมูลมาเป็นเพียงทฤษฏีเท่านั้น ต้องลงมือปฏิบัติอีกครั้งจากนั้นก็นำมาปรับให้เข้าจริตการเทรดของคุณอีกครั้ง บางทีคุณอาจค้นพบวิธีการทำกำไรที่เทรดเดอร์มืออาชีพไม่เห็นด้วย แต่คุณกลับทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามการเทรดแบบมีความสุข ไม่เครียดสำคัญที่สุด นักเทรดหลาย ๆ คนมีความเครียดในขณะเทรดในระดับสูงมากเพราะคาดหวังไว้มากว่าต้องมีกำไร ทำให้บรรยากาศในครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติมิตรดูจะอึมครึม หากผลการเทรดออกมาว่าคุณมีกำไรบรรยากาศก็จะสนุกสนาน และหากไม่เป็นไปอย่างที่คิดคุณจะแสดงความเครียดออกมาในทุก ๆ ทางจนผู้คนรอบข้างไม่อยากจะอยู่ด้วยเลย เทรดเดอร์ก็เหมือนกับเราทำอาชีพหนึ่ง คือลงมือทำตามหน้าที่ พอเสร็จหน้าที่แล้วก็พักผ่อน มีส่วนไหนผิดพลาดก็นำกลับไปแก้ไขในวันพรุ่งนี้ต่อไป มีเท่านี้จริง ๆ ครับ


แม้คุณจะทำกำไรต่อเนื่องก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่พลาด






เชื่อว่านักเทรดหลาย ๆ ท่านต้องเคยมีช่วงเวลาในการทำกำไรต่อเนื่องกันมามาก เลยคิดต่อว่าการเทรดเป็นช่องทางทำเงินที่เร็วและง่าย บางทีง่ายกว่าการเล่นหวยอีก ได้เยอะกว่าด้วยซ้ำ เพราะเทรดได้แทบจะตลอดเวลา หลาย ๆ ครั้งก็เหมือนโชคเข้าข้างเพราะบางครั้งก็เข้า order ด้วยความไม่มั่นใจเท่าไร แต่กราฟก็กลับเป็นใจ ถูกทางจนทำให้เราได้เงินเข้ากระเป๋ากันอย่างง่ายดาย

เมื่อวันแห่งความโชคดีผ่านไป วันแห่งความเลวร้ายก็มาเยือน ไม่ว่าจะเข้าเทรดท่าไหนก็เป็นอันผิดทางไปซะหมด จากที่เคยคิดว่าได้เงินมาง่าย ๆ ความคิดกลับตาลปัตรทันที โทษทั้งตัวเอง โทษทั้งตลาด ถ้าฟังเพื่อนแล้วมาเทรดก็พาลจะโทษเพื่อนอีก ความคิดด้านลบต่าง ๆ ประเดประดังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้ไม่อยากเทรดไปอีกนานแสนนาน เพราะบางคนก็ต้องคิดหนักว่าจะหาเงินที่ไหนไปจ่ายดอกเบี้ย

นักเทรดทุกคนอยากทำกำไรให้ต่อเนื่องและยาวนานมากที่สุด มันเป็นเป้าหมายแรกของทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ต่างกันที่วิธีการเท่านั้น จุดสำคัญอย่างหนึ่งที่ต่างกันระหว่างผู้ที่ทำกำไรต่อเนื่องได้จริง และผู้ที่ทำไม่ได้ก็คือจิตใจ ผู้ที่มีกำไรต่อเนื่องเค้าอาจจะไม่ได้มีกำไรทุกวัน เพราะบางวันตลาดก็ไม่มีจังหวะเหมาะ ๆ ให้เราเข้าเทรด พูดง่าย ๆ คือเค้ามองตลาดออกจึงไม่ให้ความโลภเข้าครอบงำ จนกระทั่งหลอกตัวเองว่า “เทรดได้ เทรดเถอะ กำไรแน่ ๆ” ซึ่งต่างจากผู้ที่กำไร 3 ตา ขาดทุน 10 ตา อย่างเห็นได้ชัด

หากพอตั้งสติได้แล้ว จะเห็นว่าเราสามารถศึกษาตลาดได้จากสถิติที่เราเทรดไว้ และหลาย ๆ คนกลับลืมจดมันหรือไม่ได้ให้ความสำคัญใด ๆ เลย เพราะคุณจะสนใจเพียงว่าวันนี้กำไร โชว์ยอด มีคนมาชื่นชมในความเก่ง คุณหลงใหลคำชื่นชม เทรดต่อ .. แต่พอขาดทุนติด ๆ กันหลายครั้ง สติเริ่มไม่ได้ และมุ่งมั่นว่าจะเอาเงินคืน โดยลืมยั้งคิดถึงเหตุผลว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ หรือคิดให้สะใจว่าจะแพ้จนหมดพอร์ตก็ให้มันรู้ไป ทีนี้ก็หมดพอร์ตจริง ๆ สมใจกันไปเลย

ในวันที่คุณพลาดคุณได้หยุดคิดอะไรบ้างหรือเปล่า เอาวิธีที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องขาดทุนที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ต้องเข้ามาเทรด ถือเงินสดไว้เฉยๆ ดีกว่า ป้องกันได้ 100% หากคุณเคยได้ยินคำว่ากระแสเงินสดหมุนเวียนดีก็ตามนั้นเลย หากเทียบกับการทำกิจการ หากที่ใดมีกระแสเงินสดหมุนเวียนดีนั่นก็ให้ถือว่าเป็นกิจการที่มีสภาพคล่องสูง หากคิดแบบนี้อาจทำให้คุณสบายใจขึ้นมาได้บ้าง ยังก็ตามหากคิดจะเข้าเทรดอีกครั้งก็อย่าลืมทำการบ้านมาดี ๆ ด้วย และควรคิดมาล่วงหน้าเลยว่าคุณจะสามารถขาดทุนได้กี่ครั้ง


ลงทุนอย่างมีแบบแผน






การลงทุนอย่างมีแบบแผนและสามารถทำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัดได้ ถือว่าเป็นการลงทุนที่มีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งก็คือการกำหนดแนวทางในการตัดสินใจได้หากเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบและจะต้องรู้ระยะเวลาในการลงทุนของตัวเอง เช่น คุณเป็นนักลงทุนระยะใด ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว คือนักลงทุนต้องรู้จักตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ต้องมาวิเคราะห์ตลาดกันต่อ เพราะตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในทุก ๆ แนวโน้ม หากนักลงทุนไม่รู้ว่าจะเลือกแนวโน้มใดเป็นหลักอาจจะทำให้การตัดสินใจผิดพลาดได้

ต่อมาเมื่อเรารู้แนวโน้มแล้ว ก็ต้องไม่ลืมป้องกันการขาดทุนไว้ด้วย วิธีตัดขาดทุนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นักลงทุนต้องไม่ลืมทุกครั้ง และมีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนก่อนว่าเราจะตัดขาดทุนในระดับใด เมื่อราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่เราคิด การที่เรายอมขาดทุนเพียงเล็กน้อยย่อมดีกว่าขาดทุนจนบานปลายจนเราไม่กล้าตัดสินใจ ซึ่งตามหลักการแล้วการตัดขาดทุนไม่ควรจะให้มากเกินในระดับ 10 ถึง 20% ของต้นทุน นักลงทุนอย่ามัวแต่เสียดาย และหวังว่าราคาจะกลับมาในทิศทางเดิม เพราะหากเราสงสัยในทิศทางตลาดเราก็ควรอยู่นอกตลาด เพราะเราอาจจะสับสนและอ่านตลาดไม่ออก ดังนั้นวิธีการลดความกังวล ความโลภ ความกลัวต่าง ๆ ออกไป ก็คือออกมาจากตลาดซะ

แทบเป็นไปไม่ได้ที่ตลาดจะไม่เกิดจังหวะดี ๆ อีก ดังนั้นนักลงทุนก็ควรรอโอกาสด้วยความอดทน และอย่าเพิ่งไปลงทุนมากจนเกินตัว ในกรณีที่นักลงทุนถือหุ้นอยู่ในมือไว้แล้ว ต้องการขายทำกำไรก็ให้รอจังหวะดี ๆ โดยวิเคราะห์ปัจจัยให้รอบด้าน แต่หากตลาดไม่เป็นไปตามที่คิดและจำเป็นต้องตัดขาดทุนก็ให้ทำให้เร็วหากรู้ตัวเองว่าเข้าผิดจังหวะแล้ว เพื่อที่จะได้กลับมาตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน เพราะส่วนนี้จะเป็นการบ่งบอกว่านักลงทุนกำลังปล่อยให้ความโลกเข้าครอบงำ บางคนตั้งเป้าไว้ 3 ส่วน หากราคาสามารถทำกำไรได้แล้ว 1 ส่วน ก็ตัดออกมาเก็บไว้ หากขึ้นถึงส่วนที่ 2 ก็ตัดมาเก็บไว้อีก จะไปถึงในส่วนที่ 3 หรือไม่ก็เฝ้ามองการเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง

เทคนิคของการลงทุนในระยะสั้น ก็คือเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวและขายเมื่อราคาสูงขึ้น สำหรับนักเก็งกำไรถ้ามองว่าแนวโน้มใหญ่ยังเป็นขาขึ้น แต่แนวโน้มระยะสั้นราคาอ่อนตัวให้เข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะสั้นได้เช่นกัน


ไม่ได้อยากถือสถานะยาว แต่อยาก Day Trade จริงหรือ





การเทรดแบบ Day Trade ดูจะเป็นการเทรดที่นักเทรดส่วนใหญ่นำมาใช้ เพราะเข้าออกสถานะเร็ว แต่ไม่ง่ายเพราะต้องรอจังหวะที่แม่นจริง ๆ ในการทำกำไร นักเทรดหน้าใหม่มักจะเอาใจมาไว้ที่กราฟแทบจะตลอดเวลา เพราะยังไม่รู้ว่าตนเองชอบเทรดแบบไหนกันแน่ บ้างก็เทรดเพื่อต้องการกำไรแค่วันละ 5-10 uds บ้างก็คิดว่าเทรดสนุก ๆ ไป เพราะเอาเงินเย็นมาเทรด บ้างก็ต้องการหาประสบการณ์ในการลงทุนเพิ่มอีกทาง หรืออยากเรียนรู้ว่าตนเองเหมาะกับการเทรดแบบไหนกันแน่ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เข้ากับตนเอง

มีนักเทรดส่วนหนึ่ง ที่เข้ามาเทรดเพื่อความสนุกสนาน เทรดไปก็มีความฮาไปตามประสา แม้แต่ช่วงเวลาที่ขาดทุนก็ยังฮากันได้ไม่หยุด นั่นเป็นเพราะว่ามีเพื่อนที่ขาดทุนพร้อมกันในเวลานั้นอีกจำนวนหนึ่ง แต่ยังไงก็ตามเงินที่ขาดทุนกระเป๋าใครกระเป๋ามันนะครับ ผู้ที่ขาดทุนเงินเย็นก็อาจจะทำใจได้เร็วว่าผู้ที่ขาดทุนแล้วนำเงินร้อนมาเทรด แต่หากจะให้ออกความเห็นจริง ๆ ก็ที่ไม่แนะนำเลย เพราะศาสตร์แห่งการเทรดไม่ใช่ความสนุกสนาน เป็นศาสตร์ขั้นสูงเหมือนอาชีพ อาชีพหนึ่งที่ต้องการผู้ที่มีทักษะในการเทรดเข้ามาปะทะกันด้วยเหตุด้วยผล นอกจากนั้นแล้ว เรียกตัวเองว่า “แมงเม่า” เถอะครับ

นักเทรดแบบ Day Trade อาจจะต้องพกความตื่นเต้นเข้าสนามมากกว่านักเทรดระยะกลาง และระยะยาวเพราะคุณต้องหวั่นไหวกับการย่อตัวของราคาอยู่เสมอ และต้องตัดสินใจว่าจะเอากำไรเพียงเท่านี้ (ซึ่งอาจจะไม่มาก) หรือหากผิดทางก็ต้องคิดว่าตัดขาดทุนออกไปก่อนดีกว่า คือต้องคิดเร็ว ทำเร็ว ไม่เช่นนั้นพอร์ตของคุณจะมีโอกาสเสียหายสูงมาก ต่างกับนักเทรดระยะอื่น ๆ ที่อาจจะมองไกลเป็นสัปดาห์ว่าแนวโน้มจะไปทางไหนก็เชื่อมั่นไปตามนั้น ไม่ว่าราคาจะย่อตัวสักเท่าไรก็ตาม ก็ยังเชื่อมั่นว่ามันจะไปต่อตามนั้นได้ ซึ่งก็ต้องผ่านการศึกษาในส่วนอื่น ๆ กันมามากพอสมควร

หากคุณต้องการเป็นนักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นแบบ Day Trade จริง ๆ ละก็ ลองถามตัวเองกันสักหน่อยว่าเหมาะกับคุณแล้วหรือไม่ เป้าหมายของการเทรดแบบจบในวันเดียว หรือในระยะเวลาสั้น ๆ จะสามารถตอบโจทย์ของคุณในระยะยาวได้หรือเปล่า และที่สำคัญมีช่องทางอีกมากมายที่จะสามารถให้คุณมีรายได้รายวันได้ด้วยนะ คุณลองดูรอบ ๆ ตัวคุณว่ามีอะไรบ้าง บางทีอาจจะทำให้คุณลดความเครียดกับการเทรดลงไปได้บ้าง และให้คิดว่าการเทรดเป็นอีกหนึ่งช่องทาง และมันไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตคุณ

มารู้จักแนวรับทั้ง 3 เส้น






จริง ๆ แล้วมีอีกหลายองค์ประกอบที่เราต้องเรียนรู้หากเราต้องการเป็นนักเทรดแบบเชิงเทคนิค ซึ่งคงจะศึกษากันไม่มีวันจบสิ้น นักเทรดที่รักการเรียนรู้จะได้เปรียบกว่ามาก การที่เรารู้มากแต่ไม่ได้นำมาใช้ก็ไม่เสียหายอะไร ถือว่าเป็นความรู้ประดับตน ในบทความนี้เรามาเรียนรู้เพิ่มเติมกันอีกสักหน่อยครับ

เส้นแนวรับในเทรนขาขึ้น
ส่วนมากเส้นแนวรับนี้ มักจะถูกลากตัดผ่านบริเวณที่เป็นจุดย้ำฐานของราคา ซึ่งแนวบริเวณนั้นมักจะเป็นช่วงแนวรับที่มีความแข็งแกร่งค่อนข้างสูง ด้วยความที่เส้นแนวรับชนิดนี้เป็นเส้นที่มีความแข็งแรง แต่หากราคาหุ้นลดลงผ่านเส้นแนวรับนี้ลงไปเมื่อไรราคาหุ้นมักเกิดการไหลลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว และหลายๆครั้งการหลุดผ่านเส้นแนวรับนี้ลงไป มักจะชอบมีการลดลงเป็นลักษณะของการเปิด gap กระโดดลงอีกด้วยซึ่งเส้นชนิดนี้ก็คล้ายๆกันกับเส้นแนวตั้งแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน คือมันจะแสดงให้เราได้เห็นถึงเทรนด์ไซด์เวย์

เทรนด์ไซด์เวย์
เกิดขึ้นได้ก็เพราะราคามีการลงมาทดสอบเส้นแนวรับในจุดนี้หลายครั้ง ไม่ว่าเทรนด์ที่ไหลลงมาก่อนหน้าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม แต่แนวรับสามารถรับได้อยู่ตลอดก็ให้ระวังว่าเทรนที่กำลังจะตามมาจะกลายเป็นเทรนขาขึ้นเอาไว้ด้วย ถ้าเทรนด์ก่อนหน้าที่จะเกิดไซด์เวย์เป็นขาลง หากราคาเกิดปรับตัวลงมาทดสอบเส้นชนิดนี้หลายๆครั้งแล้วไม่ผ่าน ก็ให้ระวังจะเกิดการกลับเทรนด์เป็นขาขึ้น แต่ถ้าหากเทรนด์ก่อนหน้าเป็นขาขึ้นอยู่  เมื่อเกิดการเปลี่ยนเทรนด์เป็นไซด์เวย์ ราคาลงมาทดสอบเส้นแนวรับชนิดนี้แล้วไม่หลุดหลายครั้ง ก็ให้ระวังว่าหลังจบการไซต์เวย์แล้วยังคงเป็นเทรนขาขึ้นต่อไป

เส้นแนวรับในเทรนขาลง
เส้นชนิดนี้ เป็นแบบเส้นเดียวโดดๆ มักจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมในใช้งานเท่าไร ส่วนมากที่เราพบเห็นการใช้งานเส้นลักษณะนี้ก็มาจากพบกันในรูปแบบของเส้นคู่ขนาน แต่สำหรับแบบเส้นเดียวโดดๆ มักจะไม่ได้รับความนิยมในการใช้งานจริง แต่หากใครอยากลากเส้นขึ้นเพื่อใช้ประมาณการลดตัวของราคาหุ้น ก็ใช้ได้โดยไม่ผิดหลักการแต่อย่างใด


ตัดขาดทุนบ่อย ๆ ดีจริงหรือไม่





ไม่ว่าจะเป็นนักเทรดแบบระยะสั้น ระยะกลาง หรือในระยะยาว ต่างก็ต้องมีการตั้งจุด stop loss ด้วยกันทั้งนั้น หากราคาไม่เป็นไปตามที่เราได้คาดการณ์ทิศทางแนวโน้มไว้ และเราพร้อมที่จะตัดขาดทุนทันทีที่มันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น การตัดขาดทุนมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตัดขาดทุนบ่อยแค่ไหน และใน 1 วันคุณตัดขาดทุนไปกี่ครั้ง มันตัดขาดทุนบ่อยจนกระทั่งคุณเหลือเงินในพอร์ตน้อยลงเต็มทีแล้วหรือยัง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ความขลังของการตั้ง stop loss ก็ไม่ได้ช่วยปกป้องเงินทุนในพอร์ตของคุณให้อยู่รอดเหมือนกับทฤษฎีที่ว่าไว้เลย ตัดขาดทุนทั้งทีก็ให้เกิดประโยชน์ตามมาด้วยจะดีกว่า เช่น ตัดสินใจแล้วก็ให้หยุดแล้วมานั่งทบทวนว่าจะเข้าเทรดต่อในสถานการณ์นี้อีกหรือไม่ แนวโน้มมันชัดเจนหรือเปล่า หรือว่าคุณกำลังให้ความโลภเข้าครอบงำจนมองไม่ออกว่าตอนนี้กำลังจะเดินไปทางไหนดี รู้แต่ว่าต้องเอาคืนท่าเดียว

การตัดขาดทุนบ่อย ๆ มักจะเกิดขึ้นกับนักเทรดแบบ Day trade เพราะเป็นการเทรดที่เปิดสถานะบ่อย และปิดสถานะลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่ามีกำไรแล้ว ไม่ว่านักเทรดจะเห็นว่าหุ้นที่เราถือไว้ จะมีแนวโน้มในการทำกำไรต่ออีกมากแค่ไหนก็ตาม  เหล่า Day trade จะตัดทำกำไรเก็บไว้ก่อนเสมอ เพื่อให้พ้นกับดักของความโลภในระยะยาว และเค้าก็จะหาจังหวะเข้าไปเทรดใหม่อีกครั้งจนได้ อีกประการหนึ่งที่น่าจะต้องคำนึงถึงอยู่เสมอก็คือ เราไม่ควรไปจ้องมองหุ้นหรือคู่เงินเฉพาะตัวใดตัวหนึ่งมากจนเสียโอกาสในการทำกำไรกับหุ้นตัวอื่น ๆ และเราต้องมองว่าเราแค่ไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากตัวหุ้นเท่านั้น เมื่อหมดผลประโยชน์แล้วก็ขายมันออกไป

เหล่า Day trade มักจะไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เค้าจะสาระวนอยู่ในกรอบเวลาสั้น ๆ มองกรอบเวลาใหญ่ ๆ เพื่อให้รู้ว่าในวันนั้นมีแนวโน้มไปในทิศทางใดเท่านั้นแต่ไม่ได้นำมาเป็นปัจจัยหลักในการวิเคราะห์ เมื่อตลาดกำลังจะมีวอลลุ่มอีกครั้งหลังจากไซต์เวย์มาแล้วมันจะไปทิศทางใดต่อส่วนนี้ต่างหากที่พวกเขาจ้องมองมันอยู่ นักเทรดทั่วโลกในตลาดกำลังคิดจะทำอะไรต่อไปจึงเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันอย่างหนัก เพื่อให้การเทรดในสถานะนั้นเกิดผลกำไร หรือไม่หากเกิดผิดทางขึ้นมาก็แค่ชนกับเส้น sl ที่สำคัญ เมื่อชน sl แล้วก็หยุด ตลาดจะลากไปทางไหน เหล่า Day trade มืออาชีพจะไม่สนใจมันอีกต่อไป พรุ่งนี้มาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง


คุณจัดการกับความผิดพลาดในการเทรดอย่างไร




เทรดเดอร์ที่ล้มเหลวมีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง โดยสาเหตุที่พบเห็นกันบ่อย ๆ ก็คือการโทษคนอื่นไว้ก่อนพอคิดได้ก็ค่อยมาโทษตัวเอง ที่คุณเหมือนจะโทษผู้อื่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าคุณเอาใจไปไว้กับที่ใดที่หนึ่งมากจนเกินไป เชื่อมั่นและนับถือจนทำให้มองข้ามข้อด้อยของสิ่ง ๆ นั้น การจูงใจคนในเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ มันกระทบกับความรู้สึกในด้านของความโลภโดยตรง ผู้ที่มีจิตใจหวั่นไหวก็อาจจะเอนเอียงไปได้ง่าย ๆ พอเกิดข้อผิดพลาดก็ออกแนวโทษสิ่งรอบตัวเอาไว้ก่อน พอจิตใจเริ่มนิ่ง เริ่มสงบก็ค่อยมามองตนเองอีกทีว่าจริง ๆ แล้วตัวเรานี่เองที่ไปเชื่อคนอื่นง่ายเกินไป

เรามาดูว่ามีวิธีการจัดการกับปัญหาอย่างไร 
จดปัญหาออกมา
ในยุคที่พวกเราอาจจะห่างหายกับการจดบันทึกไปบ้าง ก็ลองหันกลับมาใช้มันดู สมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ พกติดตัวไว้ แล้วให้จดไว้เสมอว่าเราเทรดแล้วได้กำไรเพราะอะไร หรือเทรดแล้วขาดทุนเพราะอะไร ใน 1 วันผลการเทรดเป็นอย่างไร สรุปแล้วเราขาดทุนหรือว่ากำไร เราแหกกฎใดไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการ over trade ไม่ว่าจะกำไรแล้วไม่ยอมปิดสถานะ ขอต่อเวลาไปเรื่อย ๆ (แม้จะการต่อเวลาจะสร้างกำไรมากขึ้นก็ตาม)

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร
หลาย ๆ ครั้งที่เราขาดทุนเราก็มักจะหาเหตุผลมาเข้าข้างตนเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเราไปเชื่อคนนี้ หรือลืมดูพอร์ตแต่ดันเปิดสถานะไว้ เอาเข้าจริง ๆ ในระหว่างการเทรดไม่ควรมีคำว่าลืมดูพอร์ตด้วยซ้ำไป ถ้าคุณคิดว่าคุณอาจจะลืมดูพอร์ตจริง ๆ ก็แล้วทำไม่ไม่ตั้งจุด stop loss เอาไว้ ทำไมปล่อยให้ลากไปจนเกือบเกลี้ยงพอร์ตอย่างนั้น ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ไม่ว่าจะยังไงก็ตามคุณก็คือผู้ที่รู้ตัวเองดีที่สุดว่าแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ ถึงแม้คุณจะบอกผู้อื่นอย่างไรก็ตาม คุณก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้ ลองซื่อสัตย์กับใจของคุณดูเองก่อน แล้วคุณจะค้นหาความบกพร่องนั้นได้

ค้นหาวิธีการแก้ปัญหา
ท้ายที่สุดเราก็ต้องมาแก้ปัญหากันอยู่ดี แต่จะด้วยวิธีการใดนั้นก็ต้องค่อย ๆ สรุปออกมาเป็นเรื่อง ๆ ไป ในเรื่องของการเทรดก็คงต้องให้ผู้มีประสบการณ์ในการเทรดเข้าช่วย เพราะคุณอาจจะมองหาวิธีแก้ด้วยตัวเองมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที ก็อาจจะต้องหาใครสักคนไว้คอยแนะนำ ลองนำความผิดพลาดไปคุยให้กับเค้าฟังว่าคุณทำผิดพลาดอะไรมาบ้าง และต้องการแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไปหรือต้องการทำให้มันดีขึ้น บางทีเค้าอาจจะช่วยแก้ปัญหาของคุณให้ถูกจุดก็อาจเป็นได้


โลกสวยด้วยการเทรดค่าเงิน








ตั้งหัวข้อซะน่าหมั่นไส้กันเลยทีเดียว จริง ๆ แล้วโลกของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่สวยหรูหรอกครับ บางคนเค้าก็ต้องการเทรดเพื่อให้เป็นรายได้เสริม ตั้งใจมาดีมากไม่ได้คิดไปไกลว่าอยากมีชีวิตหรูใด ๆ แค่เพียงมองเห็นช่องทางเท่านั้น แต่โลกของความเป็นจริงในตลาดเทรดไม่ได้สวยงามขนาดนั้น เพราะเต็มไปด้วยความเสี่ยงทุก ๆ อย่างก้าว แต่เทรดเดอร์คนไหนจะกำจัดความเสี่ยงให้อยู่นวงแคบได้เท่านั้นเอง 

ผู้ที่ยอมรับในความเสี่ยงได้มาก ก็จะทุ่มทุนค่อนข้างมากหน่อยเพราะหากได้ผลกำไรก็จะได้มากหลายเท่าตัว ราวกับว่าเทรด 1 ครั้ง สบายไปหลายเดือน แต่หากผลการเทรดไม่เป็นไปอย่างที่คิด ก็ต้องยอมรับในผลของการตัดสินใจของตัวเองด้วย ฟังแล้วดูน่ากลัวแต่ความเป็นจริงแล้วตลาดหุ้นและตลาดเงินก็อยู่บนพื้นฐานเดียวกันทั้งหมด คือความเสี่ยงนั่นเอง

ผู้ที่มีฐานะที่ค่อย ๆ ดีขึ้นต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันไป งั้นเรามาช่วยกันดูว่านอกจากการเทรดแล้วยังมีอะไรอีกบ้างที่จะสร้างรายได้ให้เราได้บ้าง นอกจากนั่งเฝ้ากราฟ

มีรายได้จากการรับจ้าง
คำถามคือเทรดเดอร์ที่รับสอนเทรด ถ้าเก่งจริงทำไมไม่นั่งเทรดเองเงียบ ๆ มาหาเงินจากการรับจ้างอีกทำไม คำตอบคือมันเป็นช่องทางของการสร้างรายได้ หากเทรดเดอร์มีความรู้มากเพียงพอที่จะสอนผู้อื่นให้เทรดได้อย่างถูกต้อง และผู้ที่ต้องการให้สอนมีความต้องการที่จะจ่ายค่าความรู้ให้กับเค้าเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เทรดเดอร์แนวนี้เค้าจะมองแล้วว่า การเทรดเป็นหนึ่งช่องทางการทำเงิน การเปิดคอร์สสอนก็เป็นอีกช่องทางการทำเงิน หากเค้ามีดีมากพอ เค้าก็ไม่ผิดที่จะหารายได้อีกทาง บางคนไม่เน้นปริมาณด้วยซ้ำไป สอนจนกว่าคุณจะเทรดเป็น สอนจนกว่าคุณจะได้กำไร และตามดูแลเป็นเพื่อนการเทรดกันไปนาน ๆ เลยก็มี

ให้เงินทำงานแทนสบายดี
ในส่วนนี้นักลงทุนจะเข้าใจหลักการของการทำงานและการทำเงินโดยการนำเงินไปสร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้นตามเวลาเร็วหรือช้านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยธรรมชาติแล้วอะไรที่ได้เร็วกำไรดีๆ ความเสี่ยงก็ย่อมสูงกว่าสิ่งที่ได้มาช้าและกำไรไม่ได้มากนัก กฎเหล่านี้ต่างก็มีวิธีการขั้นตอนและความเสี่ยงแตกต่างกันไป ซึ่งก็ไม่พ้นการศึกษาค้นคว้าอย่างจริง ๆ ลงทุนในสิ่งที่เข้ากันกับจริตของเรา แล้วเราจะมีความสุขในสิ่งที่ทำ สำคัญคือการตัดสินใจที่จะลงทุนใด ๆ แล้ว เราต้องนิ่ง และปลอดซึ่งความเครียด

บางทีเราอาจจะเจอช่องทางการหารายได้ของเราจากสิ่งที่เราทดสอบเพียงแค่เล่น ๆ ก็ได้ เทรดเดอร์หลาย ๆ คนเองก็มีอารมณ์ประมาณนี้แหละ ทั้ง ๆ ที่เค้าแค่เพียงมาเทรดเล่น ๆ แต่ผลที่ได้กลับทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับการอยู่กับกราฟ และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าใคร ๆ เลยกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพไปในที่สุด

เทรดให้ได้กำไรใครก็ชอบ




ตอนที่ลองเทรดใหม่ ๆ แล้วได้กำไรอยู่เรื่อย ๆ มันช่างเป็นความรู้สึกเหมือนถูกหวยอยู่ตลอดเวลา ทำเอาฝันไปไกลเลย ว่าหากเราสามารถทำกำไรได้ทุกวัน วันละ 5-10% หรือมากกว่า มันจะทำให้เรามีรายได้เสริมใช้จ่ายลื่นมือมากขึ้น จะซื้อหาอะไรก็ง่ายไปหมด แต่ทว่าพอตื่นจากความฝันนี่ซิ บางวันก็กำไร บางวันก็ขาดทุน พอสรุปผลการเทรดเพียงแค่ 1 สัปดาห์กลับกลายเป็นว่าเสมอตัว หรือกำไรมานิดหน่อย ไม่ก็ขาดทุนนิดหน่อย ฝันสลายทันที ความเครียดเข้ามาแทนที่

เทรดเดอร์ที่มากประสบการณ์ เค้าผ่านตรงนี้มาจนหมดสิ้นแล้ว และมักจะรู้จักคำว่าพอเพียง เพราะคำว่าพอเพียงคือ “หยุด” ได้แล้วพอใจแล้วกับกำไรที่ได้ และไม่ได้อยากได้มากไปกว่านี้ เอาเวลาไปทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง เค้าจะไม่เสียเวลากับการดูกราฟทั้งวัน อาจจะหาหนังสือดี ๆ สักเล่มอ่านให้เพลินสมอง เพราะพรุ่งนี้ก็มาเทรดใหม่ได้อยู่ดี หากนักเทรดไม่รู้จักคำว่า “ พอ “ สุดท้ายความโลภจะทำลายตัวคุณเอง คุณจะรู้สึกว่าตัวเองเก่งมากทำกำไรได้มากในเวลาอันสั้น ความหลงลำพองในตัวก็จะเข้าครอบงำ ตั้งใจว่าจะหยุดที่ 5% กลับไปเพิ่มอีกนิด อีกหน่อย แหกกฎที่สร้างไว้ทุกอย่าง สุดท้ายกลายเป็นขาดทุน เครียดกันไปอีก

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เริ่มมีรายได้จากการเทรด หรือการลงทุนที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ให้คุณพยายามทำใจไว้ให้ได้ว่าคุณจะต้องไม่โลภ คุณจะต้องมีวินัย คุณจะต้องพอ คุณจะต้องหยุดให้เป็น มิใช่ว่าทำได้หลักพัน พรุ่งนี้จะเอาหลักหมื่น ต่อไปจะเอาหลักแสน และเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ความคิดแบบนี้จะทำให้คุณต้องเพิ่มทุนไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ lot เล็ก ๆ จะไม่มีวันสร้างกำไรมหาศาลให้กับคุณได้เลย ยิ่ง lot ใหญ่มากขึ้นเท่าไร ความเสี่ยงก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัวมากเท่านั้น เสี่ยงน้อย ก็กำไรน้อย เสี่ยงมาก ก็กำไรมาก ในทางตรงกันข้าม หากคุณขาดทุนหละ (คิดตามเอาเองได้เลยครับ)

ทีนี้นักเทรดทั้งหลายควรตั้งเป้าหมายว่ากำไรเท่าไหร่ถึงจะพอใจ โดยเฉลี่ยอาจจะให้ได้ปีละ 10 ถึง 30% คิดว่าพอแล้วหรือยัง ถ้าได้มากกว่านี้ก็ให้ถือได้ว่าเป็นโบนัสในการเทรด เพราะหากเรายังคงสาระวนกับระบบที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด ก็จะไม่มีวันเจอระบบนั้น หากเราได้กำไรเฉลี่ยปีละ 15% ถ้าเทรดได้ 10 ปีโดยทบกำไรที่ได้จากการเทรดไปเรื่อย ๆ ลองคิดดูว่าจะทำให้เรามีเงินก้อนใหญ่มากแค่ไหน หากราเห็นว่าการเทรดคือการออมเงิน และได้ความรู้ทักษะเพิ่มมาเป็นกำไร แบบนี้ก็หมดสิ้นซึ่งคำว่าขาดทุนกันแล้ว

นักเทรดที่เดินเข้ามาในตลาด มีต้นทุนต่างกันดังนั้นการนำตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นจะทำให้ยากที่จะเอาชนะตลาดได้ ยิ่งฝืน ก็ยิ่งเป็นการยากที่จะได้กำไร แต่หากเรายอมรับความจริงในจุดที่เราเป็นอยู่จะเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างกำไรได้มากขึ้น ดังนั้นหาระบบของคุณให้เจอ หาตัวตนของคุณให้เจอ แล้วคุณจะเทรดอย่างมีความสุขได้

2 ทฤษฏีที่นักเล่นหุ้นมักพูดถึงในการเทรด






แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่ทฤษฏีหลักการตายตัวอะไร แต่นักเล่นหุ้นนำมาพูดถึงและเปรียบเทียบกันในบางช่วงเวลา เรามาดูกันว่า 2 ทฤษฎีที่ถูกกล่าวถึงมีอะไรบ้าง

ทฤษฎีคุณยายขายดีกว่า
เป็นเรื่องขำขันในเรื่องจริง ๆ ที่นำมาเปรียบเทียบกับคุณยาย ซึ่งความที่เป็นคนแก่ก็มักจะเป็นคนรอบคอบในทุก ๆ เรื่อง จนกระทั่งการเทรดหุ้นในส่วนของการตัดสินใจในแต่ละครั้ง ก็ต้องคิดแล้วคิดอีกประเภทคิดนั่งคิด ยืนคิด นอนคิด ก็ยังคงติดสินใจไม่ได้ นักเทรดก็เลยแซวว่าคุณยายเนี้ยะ!! ถ้าแกคิดจะซื้อหุ้น แกก็คงจะคิดอยู่หลายตลบเหมือนกับกว่าจะตัดสินใจได้สักที เพราะต้องเลือกหุ้นที่มั่นใจจริงๆ ตลาดหุ้นก็ต้องดีจริงๆ ถึงจะกล้าเข้าไปซื้อ 

วันที่ 1 หุ้นเริ่มขึ้นแต่ก็ไม่กล้าซื้อเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้มันจะตก วันที่ 2 หุ้นก็ขึ้นต่อไปคุณยายก็ยังไม่ซื้ออีกเพราะกลัวว่าวันต่อไปมันจะตก เข้าวันที่ 3 แกก็ยังไม่กล้าซื้ออีกซ้ำแกยังบอกว่ามันขึ้นมาแล้ว 3 วัน วันที่ 4 มันต้องตกแน่ ๆ เพราะมันขึ้นมา 3 วันแล้ว แต่มันก็ยังขึ้นต่อไปอีก คุณยายก็มักจะคิดว่า ไม่ได้แล้วถ้าวันที่ 4 ไม่ซื้อ คราวนี้ตกรถไฟขบวนสุดท้ายแน่ ๆ หุ้นมันต้องไปได้อีกชัวร์ ในที่สุดคุณยายก็ทนไม่ไหวกระโดดเข้ามาร่วมวงในตลาดหุ้นกับเค้าทันทีในวันที่ 4 แต่ทว่าตามทฤษฎีนี้เขาบอกว่านี่คือจุดขายที่ดีที่สุดและถึงเวลาแล้วที่พวกเราลงจากรถไฟกันสักทีเพื่อหลีกทางให้คุณยายขึ้นต่อไป

ทฤษฎีของแมงเม่าบินเข้ากองไฟ หรือ ทฤษฏีคนโง่
กฎของการลงทุนข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ให้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกแล้วขายในราคาที่หุ้นแพง แต่คนฉลาดมักจะบอกว่าให้ซื้อตอนหุ้นแพงแล้วขายตอนหุ้นแพงกว่า หมายถึงให้เลือกเข้าซื้อตอนหุ้นเริ่มขึ้น ไม่ใช่เข้าซื้อตอนที่หุ้นมันขึ้นไปมากแล้ว หรือซื้อตอนที่หุ้นมันตกลงมามากแล้ว แต่ก็มีอีกหลาย ๆ เสียงบอกว่าไม่ถูกทั้ง 2 วิธี ถ้าซื้อหุ้นตอนที่ราคาตกลงมามากแล้วก็ยังพอทำกำไรได้ ตำราฝรั่งเขาบอกว่าคนโง่ไม่ชอบซื้อหุ้นตอนราคาถูกไม่ชอบซื้อตอนหุ้นเริ่มขึ้น แต่ชอบตามซื้อตอนหุ้นอยู่บนยอดดอยแล้ว ก็เปรียบเสมือนกับแมงเม่ามากที่สุดซึ่งพอเห็นแสงไฟแล้วก็เต็มใจบินเข้าไปตายในกองไฟ ตำราฝรั่งเขาเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า “คนโง่”

จริง ๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายทฤษฏีที่นักเทรดหุ้นตกผลึกกันมา แล้วนำมาเขียนเพื่อเป็นข้อคิดให้กับนักเทรดได้นำไปคิดได้ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีความสนุกสนานปะปนอยู่แต่ในเนื้อหาแล้วให้สาระกับนักเทรดหุ้นได้ดีทีเดียว


หากอ่านตลาดออกคุณจะจัดการกับตัวเองได้





ในระหว่างการเทรดจะมีข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลที่ออกมา ราคาที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กันระหว่าง “ กระทิงกับหมี “ นักเทรดก็ต้องทำงานอย่างหนักด้วยเช่นกัน เพราะต้องวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นและต้องคาดการณ์กว่าพลังของทางไหนกันแน่ที่เหนือกว่ากัน

นักเทรดควรระลึกไว้เสมอว่าข่าวสารต่าง ๆ ที่ถาโถมออกมาในช่วงเวลานั้น บางทีก็ไม่ใช่ข่าวจริงเสมอไป อาจจะมีผู้ปล่อยข่าวออกมาเพื่อให้นักเทรดสับสน ระดับราคาก็ดูแกว่งไปมาแรงมาจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลย มีการเทขายและมีการเข้าซื้อแบบจับทิศทางไม่ได้ หากนักเทรดหลงในกลลวงนี้ก็อาจจะทำให้พอร์ตเสียหาย นักเทรดควรระลึกไว้เสมอว่าการเชื่อตนเองเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติ หากไม่มีแนวโน้มที่แน่นอน ก็ให้เราทำใจให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องหวั่นไหวใด ๆ แล้วจะเห็นเทรนด์ชัดเจนขึ้นได้เอง ข่าวต่าง ๆ ก็มาจากการคาดการณ์ด้วยกันทั้งนั้น อาจสร้างความตื่นเต้นเร้าใจและสักพักความเป็นปกติก็จะกลับมาได้เหมือนเดิม

ใช้สามัญสำนึกในการวิเคราะห์ตลาด เมื่อมีเรื่องราวใหม่ๆบางอย่างที่มาสร้างความสับสนให้คุณ ถ้ามันเกิดขึ้นให้วิเคราะห์กันให้ดี ๆ เช่น อาจมีตัวบ่งชี้แสดงสัญญาณซื้อให้กับนักเทรด หรืออาจมีตัวบ่งชี้ให้นักเทรดเตรียมขาย แต่ว่าตัวบ่งชี้นั้นให้สัญญาณชัดเจนมากแค่ไหน ที่สัญญาณมาเพราะมีข่าวสารหรือข่าวโคมลอยอะไรมากระทบหรือไม่ มันอาจดีดตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และร่วงลงมาเร็วอย่างที่คุณไม่ได้เตรียมทำใจเอาไว้เลย และเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ อีกด้วย

นักเทรดจำเป็นต้องหาความสมดุลและพลังระหว่างตลาดกระทิงกับตลาดหมี และจำเป็นจะต้องฝึกฝนการบริหารจัดการการเงินที่ดีด้วย ความจำเป็นอีกอย่างก็คือต้องมีวินัยในตัวเองที่จะทำตามแผนการในการเทรดของคุณและหลีกเลี่ยงอารมณ์เคลิ้มเคลิ้มในผลกำไรหรือซึมเศร้าเพราะขาดทุนในตลาดออกไป ได้แล้วพอ ได้แล้วหยุด ผิดทางก็ตัดขาดทุน 

หลักการเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ






จากการศึกษาตามตำราต่าง ๆ มีสูตรสำเร็จมากมายที่จะสอนคุณให้รวยด้วยหุ้น หรือแม้แต่การเทรดค่าเงิน จริง ๆ แล้วความรู้ด้านต่าง ๆ สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ แต่ตลาดเทรดค่าเงินจะมีความผันผวนรุนแรงกว่าจะกินเงินในประเป๋าของนักเทรดมากกว่าตลาดหุ้น เรามาดูกันสักนิดว่ามีหลักการพื้นฐานใดบ้างที่นักเทรดควรรู้และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในการเทรด

อย่ามัวแต่เก็งกำไร เก็งขาดทุนด้วย
เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ที่นักเล่นหุ้น หรือนักเทรด เสียหายกันมากนักต่อนัก ก็เพราะ “ซื้อเป็นแต่ขายไม่เป็น” ท้ายที่สุดก็ขาดทุนกันระเนระนาด จุดนี้นักลงทุนจะพลาดกันอยู่บ่อย ๆ หุ้นขาดทุนไปแล้วมากกว่า 10% ก็ยังไม่ยอมขายทิ้ง จากขาดทุนน้อย กลายเป็นล้างพอร์ตกันเลยก็มี

อย่าหลงตลาดจนถอนตัวไม่ขึ้น
ตลาดจะมีจังหวะดีๆ ของมันอยู่นะ ถ้ารู้ว่าตลาดช่วงไหนเล่นไม่ได้ก็อย่าเข้าไปเล่น ถ้าขาดทุนไปแล้วก็อย่าได้ไปเอาชนะมัน เพราะยังไงก็ไม่มีใครเอาชนะตลาดได้หรอก มีแต่เอาชนะใจตัวเอง ก็ในเมื่อไม่มีวอลลุ่มแล้ว ก็อย่าได้ฝืนนั่งมองเฉย ๆ ก็ได้ไม่ว่ากัน

ระเบียบวินัยต้องมีไว้อย่าได้ขาด
นักเทรดทั้งหลายจะมาตกม้าตายกันเอาก็เพราะไร้ซึ่งระเบียบวินัยนี่แหละ จากการศึกษาหุ้นส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวระหว่างแนวรับกับแนวต้าน พอขึ้นไปชนแนวต้านไม่ผ่านก็ลงมาที่แนวรับ จนกว่าแรงขายจะอ่อนแรงแล้วมันก็จะเข้าช่วยไซต์เวย์ออกด้านข้าง อีกสักพักก็จะมีคนเข้ามาเล่นรอบใหม่เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ  อย่ากลัวว่าจะซื้อไม่ทันเพราะไม่แน่ว่าอาจจะเป็นจังหวะติดดอยไปแล้วก็ได้ เพราะเผอิญว่าไม่ได้ดูข้อมูลมาก่อน หุ้นมันขึ้นมานานระยะหนึ่งแล้ว นักลงทุนควรรอให้มันปรับตัวก่อนแล้วค่อยเข้า ถ้าเข้าไม่ได้ ก็ไปดูตัวอื่น ๆ ก่อนก็ได้ หลักการคิดไม่ต่างกันเลย ขออย่างเดียวมีระเบียบวินัยตลอดการเทรดก็พอ

หุ้นมีหลายตัวเลือกศึกษา 2-3 ตัวก็พอแล้ว
การศึกษาใด ๆ ต้องอาศัยเวลา หุ้น 1 ตัว หรือค่าเงิน 1 คู่ ก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน แรกเริ่มเลยก็ค่อย ๆ ศึกษาไปทีละอย่าง อย่าเอาหลาย ๆ อย่างมารวมกัน ฟังจากที่ไหนมาก็อย่าเพิ่งไปเชื่อในทันที่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป หุ้นหลายตัวสังเกตง่ายราคาจะวิ่งระหว่างแนวรับกับแนวต้าน พฤติกรรมของหุ้นเก็งกำไรหลักการสำคัญก็คือให้ดูแนวรับแนวต้าน แล้วก็ดูวอลุ่มประกอบเวลาดูแนวโน้มตลาดก็ง่ายๆ ดูเป็นขั้นๆ ไปเช่น 1000 จุดผ่านได้ไหม ผ่านไม่ได้ก็มาดูที่ 995 จุด ถ้าหลุดก็มาดูต่อที่ 990 จุด ถ้ารับไม่อยู่อีกก็มาดูที่ 800 ต่อไปเรื่อย ๆ  ข้อมูลพวกนี้เราต้องทำการบ้านมาด้วยไม่ยากเกินไป ถ้าแนวรับรับไม่อยู่ก็ต้องหายแต่หากผ่านไปได้เราก็เข้าเทรดต่อ หากจังหวะดี ๆ ก่อน ตามไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะเห็นตลาดเอง


บริการพอร์ตของคุณ ก่อนที่จะนึกถึงกำไร





อารมณ์ที่กระหายเงินเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกของนักเทรดได้อย่างดีเยี่ยม นักเทรดมือใหม่มักจะรีบร้อนส่งคำสั่งการซื้อขายออกไปอย่างรวดเร็ว อาจจะเพราะความรู้สึกตื่นเต้น จนขาดการคิดวิเคราะห์ถึงแนวโน้มและปัจจัยอีกหลาย ๆ อย่าง ต่อมาอีกไม่นานนักเทรดก็จะพบว่าตลาดได้มอบบทเรียนแสนแพงให้กับนักเทรดเข้าซะแล้ว นักเทรดมืออาชีพคนหนึ่งเคยบอกว่าการเทรดให้ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ เพราะต้องใช้เวลาจำนวนมากในแต่ละวันไปกับการทำความเข้าใจอย่างหนักในการตรวจสอบข้อมูลของตลาด และจำเป็นต้องทำอย่างละเอียด เพื่อลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด

อีกช่องทางที่นักเทรดจำเป็นต้องทำก็คือ จดบันทึกประวัติการเทรดไว้ให้มากที่สุด ดูแล้วเป็นเรื่องที่เสียเวลามาก แต่ก็อยากให้นักเทรดจดไว้กันนะครับ ไม่เช่นนั้นนักเทรดจะลืมเองว่าตลอดเวลาที่ผ่านมากำไรหรือขาดทุนเพราะอะไร แล้วจะไปแก้ไขได้ที่ไหน หากนักเทรดไม่จดแต่กลับเดินไปข้างหน้าอยู่เรื่อย ๆ เดินสะเปะสะปะเรื่อย ๆ ผิดทางก็มองไม่ออก ถูกทางก็ได้มาแบบฟลุ๊ค ๆ สรุปแล้วต้องจ่ายค่าความขี้เกียจเป็นเงินจริงแบบล้างพอร์ตไปเลยก็มี

ในขณะที่เราเทรดอยู่นั้น นักเทรดอย่าเพิ่งไปคิดถึงยอดเงินในระหว่างการเทรด เอาแค่ว่าเทรดยังไงให้ได้กำไรก่อน กำไรมากน้อยก็ค่อยมาว่าอีกที นักเทรดควรมุ่งเน้นความสนใจไปที่การบริหารการเทรดของคุณว่าคุณเทรดอย่างไรจึงเกิดผลกำไรขึ้นมาได้ ให้คุณจำเอาไว้และเทรดในจุดนั้น ๆ เรื่อย ๆ พร้อมกับจดเอาไว้ด้วยว่ากำไร / ขาดทุน อย่างไหนมากกว่ากัน ความรู้สึกกระวนกระวายหรือตื่นเต้นไปกับชัยชนะหรือการขาดทุนต้องไม่เกิดขึ้นในขณะเทรด เพราะมันจะทำลายกฎทุกอย่างของคุณจนหมดสิ้น ให้คุณเทรดไปเรื่อย ๆ ตามแผนจนกว่าจะจบแผนงาน ผลเป็นอย่างไรก็นำมาวิเคราะห์ต่อไปอีกครั้ง

เป้าหมายของนักเทรดมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จก็คือ การไปให้ถึงจุดที่ดีที่สุดของตัวนักเทรดเองไม่ใช่จุดที่ดีที่สุดของใครทั้งนั้น นักเทรดที่ดีที่สุดและเก่งที่สุดจะสามารถจัดการกับการเทรดแต่ละครั้งให้เหมือนกับว่ามันเป็นการทำงานอย่างจริงจังอย่างมีสติโดยปราศจากความมักง่ายหรือการลดขั้นตอนใด ๆ ลง หากนักเทรดสามารถบริหารจัดการในส่วนนี้ได้แล้ว ก็ค่อยมาดูกันต่อที่ผลของกระบวนการว่าให้ผลเป็นอย่างไร กำไรหรือขาดทุน


คุณมีแหล่งเงินทุนหลังวัยเกษียณแล้วหรือยัง





แน่นอนว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเราจะต้องเข้าสู่สภาวะวัยเกษียณกันอย่างแน่นอน ผู้ที่เตรียมตัวมาดีตลอดชั่วชีวิตมักจะได้เปรียบ เพราะคงไม่ต้องไปวิ่งหาเงินเพิ่มอะไรอีกมากมายนัก แต่กับผู้ที่เตรียมตัวมาน้อยก็ยังคงต้องดิ้นรนหากันต่อไป แบบนี้แล้วเรามาดูก่อนสักหน่อยว่าจะพอมีหนทางในการหาเงินมาใช้ในวัยเกษียณเพิ่มกันได้อย่างไรบ้าง

เงินออมของคุณเอง
ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเนื่องจากเงินที่ออมใน กบข. หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีข้อดีคือได้รับยกเว้นภาษี และยังได้รับเงินสมทบเพิ่มเติมจากรัฐบาลหรือนายจ้างอีกด้วย  ดังนั้นนักออมจะได้ใช้สิทธิ์การออมในจำนวนสูงสุดที่สามารถออมได้ นอกจากนี้ยังมีกองทุนรวมเพื่อเลี้ยงชีพ RMF หรือในรูปแบบของการออมที่เปิดโอกาส ให้ทุกคนได้ออมเงินเพื่อเกษียณอายุ โดยเงินที่ออมสามารถนำมายกเว้นภาษีเงินได้สูงสุดปีละ 15 % ของเงินได้และเมื่อรวมกับ กบข. หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วไม่เกิน 500,000 บาทในปีภาษีนั้น

ทรัพย์สินของคุณเอง
การดำเนินชีวิตของคุณจะเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อคุณเกษียณอายุ เช่นไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อขับรถฝ่าถนนหนทางที่ติดขัดไปทำงานอีกต่อไป  บ้านหลังใหญ่โตที่ดูแล้วสมฐานะ แต่พอหลังเกษียณก็ดูไม่มีความจำเป็นเท่าไร  ยานพาหนะที่ใช้จากที่เคยหรูหาก็มีความจำเป็นลดลง การกินอยู่ที่เคยดูดี ดูแพง ก็ลดความสำคัญลงและหวังเพียงสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น  ดังนั้นทรัพย์สินบางอย่างที่มีแล้วไม่เกิดประโยชน์คุณก็อาจจะขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในกองทุนต่าง ๆ และรอรับเงินปันผลสบาย ๆ ดีกว่าให้ลดมูลค่าไปโดนไม่ก่อให้เกิดรายได้อะไรขึ้นมา

รายได้จากการทำงาน
บุคคลในวัยเกษียณไม่ใช่บุคคลไร้ความสามารถ เพียงแต่อายุอยู่ในเกณฑ์แล้วเท่านั้น ตามอย่างที่เราได้เห็นทั่ว ๆ ไปตามสื่อต่าง ๆ ลองมองหาธุรกิจที่ดีๆ ที่คุณใฝ่ฝันมาเป็นเวลานานแต่ยังไม่ได้ลงมือสักที เพราะตลอดเวลาคุณยังแบ่งเวลาออกมาไม่ได้ นอกจากสร้างรายได้แล้ว คุณยังได้รับความสุขทางจิตใจด้วยธุรกิจใหม่ที่คุณทำ ซึ่งอาจจะทำเงินให้มากกว่าตลอดช่วงชีวิตที่ทำมาก็ได้

ยังมีปัจจัยหรือช่องทางอื่น ๆ อีกมากมายที่คุณจะทำได้ แต่อย่างไรแล้วก็ต้องห่วงสุขภาพของตัวเองให้มาก ๆ ด้วย เนื่องจากวัยเกษียณคงไม่เหมาะที่จะทุ่มเทสิ่งใด ๆ ด้วยกำลังกายมากจนเกินไป แทนที่จะได้พักผ่อนดูแลสุขภาพให้มีชีวิตยืนยาว กลับกลายเป็นต้องเดินเข้าออกสถานพยาบาลกันเป็นว่าเล่นเอาได้


Exness